ที่ขึ้นหัวกระทู้แบบนั้นเพราะว่าการกลับมาครั้งนี้
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือเอกลักษณ์ของตัวหนังและพระเอก เพราะถ้าเปลี่ยนไปก็คงไม่ใช่หนังตระกูล Indiana
Jones แน่ๆ เพียงแต่องค์ประกอบและตัวเนื้อเรื่องที่เปลี่ยนไป
คงพอทำให้คนดูได้รับอรรถรสแปลกใหม่พอที่จะพึงใจได้
กลับมาใน Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ครั้งนี้ ปู่อินดี้ (แฮริสัน ฟอร์ด)
ต้องไปค้นหากะโหลกแก้วที่กุมความลับบางอย่างไว้พร้อมกับเพื่อนร่วมทางอย่าง แม็ค (เรย์ วินสโตน)
นางในดวงใจ มาเรียน ราเวนวู๊ด (คาเรน อัลเลน) และผู้ช่วยคนใหม่ มัตต์ วิลเลี่ยม (ไชอา ลาบัฟ)
รวมถึงต้องป้องกันมันจาก KGBสาว ที่ต้องการนำกะโหลกไปใช้ประโยชน์ อีริน่า สปัลโก้ (เคท แบลนเชท)
และยังต้องนำมันกลับไปยังนดรลี้ลับอีกด้วย
เนื้อเรื่องที่ว่าไว้อย่างง่ายๆ แต่เอื้อให้เกิดฉากแอ็กชั่นผจญภัยได้อย่างไม่ยั้ง
((ย่อหน้าต่อไปอาจเปิดเผยบางช่วงของเนื้อเรื่อง หากไม่อยากทราบก่อนชมภาพยนตร์
สามารถข้ามย่อหน้านี้ไปได้เลยครับ))
การผจญภัยครั้งนี้ อาจจะเรียกว่าเป็น Indiana Jones ในโลกของ X-File ก็ได้
เพราะนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่หนังตระกูลอินดี้จะจับต้องเรื่องราวที่เป็นวิทยาศาสตร์เต็มตัว
เพราะถ้าย้อนกลับไป อินดี้นั้นต้องปกป้องหีบศักดิ์สิทธิ์แห่งพันธสัญญาใน Rider of Lost Ark
เผชิญหน้ากับพ่อมดแห่งเจ้าแม่กาลี ใน Temple of Doom
และร่วมตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูพร้อมกับพ่อของเขา( ณอน คอนเนอรี่) ใน The Last Crusade
ซึ่งออกแนวไสยศาสตร์ล้วนๆ
แต่ในคราวนี้ อินดี้ต้องตามหากะโหลกแก้วซึ่งมีอำนาจบางอย่างที่มาจากมนุษย์ต่างดาว
และถ้ามองจากโปสเตอร์แล้ว กะโหลกแก้วนั้น ก็ไม่ใช่กะโหลกมนุษย์โลกอย่างแน่นอน
((อ่านต่อได้อย่างสบายในแล้วครับ))
หากจะนับกันเล่นๆว่า Indiana Jones ภาคแรกออกฉายในปี 1981 ซึ่งนั้นเท่ากับ 27
ปีมาแล้วที่โลกได้เห็นการผจญภัยแรกของอินดี้ หลายๆคนคงกลัวว่าแฮริสัน ฟอร์ด จะมาเหวี่ยงแส้ไม่ไหวแล้ว
แต่ในภาคสี่นี้ ฟอร์ด ซึ่งอายุ 66 ปี ยังคงวิ่งหนีกระสุน โหนตัวด้วยแส้
และชกหน้าผู้ร้ายได้อย่างไม่เขอะเขินนัก แม้ในบางฉากผู้ชมจะตะหงิดๆใจว่านั้นมันสตั้นท์รึเปล่าก็ตาม
ถึงจะอยู่ในวัยร่วงโรย แต่ฟอร์ดยังสามารถใส่บุคลิกที่คนทั่วโลกจดจำอินดีน่า โจนส์
ไม่ว่าจะเป็นความหัวแข็ง ความฉลาดในแบบไม่โอ้อวด และความมุทะลุ ได้อย่างไม่ตกหล่น
ในส่วนนักแสดงหลักรายอื่นๆ ที่น่าประทับใจสุดๆคงเป็น เคท แบลนเชท ที่แสดงเป็น KGB ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม
การเคลื่อนไหว รวมถึงภาษาอังกฤษในสำเนียงรัสเซีย ทำให้บทอีริน่า สปัลโก้ ของเธอดูทั้งน่ากลัว
และน่าติดตามไปได้อย่างหมดหัวใจ
อีกหนึ่งการกลับมาอย่างขาดไม่ถึงคือ คาเรน อัลเลน ในบท มาเรียน ราเวนวู๊ด
ซึ่งเคยร่วมผจญภัยกับอินดี้ในภาคแรก
ซึ่งผู้คนทั่วโลกยกให้เธอผู้นี้เท่านั้นที่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ร่วมชีวิตกับอินดี้ คาเรน
ยังคงความน่ารักอย่างสมวัย เมื่อขึ้นจอ และช่วงที่ต่อปากต่อคำกับอินดี้
ยังคงเป็นช่วงเวลาที่สามารถทำให้เราเชื่อว่าสองคนนี้รักกันจริงๆ
ไม่ว่าจะผ่านการเห็นฉากนี้ครั้งแรกมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
ว่าที่ซุปเปอร์สตาร์คนต่อไปของฮอลลีวูดอย่าง ไชอา ลาบัฟ ยังคงให้การแสดงที่เป็นธรรมชาติ
ไม่ว่าจะฉากแอ็กชั่นหรือฉากดราม่า เขาแสดงให้เห็นได้ว่า ไม่มีใครสามารถข่มเขาได้เมื่ออยู่ในจอ
แม้นว่าฉากนั้นเขาจะต้องเล่นกับระดับตำนานอย่างฟอร์ดก็ตาม ที่สำคัญบทของเขานั้น บอกเป็นนัยๆว่า
เขานี้แหละที่จะมาต่อยอดเรื่องราวการผจญภัยออกไป เมื่อโลกนี้ไม่มีหนังชุด Indiana Jones แล้วก็ตาม
ด้านเอฟเฟคนั้น ไม่มีอะไรต้องติติงกัน ฉากใหญ่ๆอย่างฉากระเบิดปรมณู
หรือฉากการสลายตัวของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทำออกมาได้อย่างน่าตื่นตา
เพียงแต่หนังนั้นกำหนดเรื่องราวอยู่ในปี 1957 ซึ่งเป็นช่วงสงครามเย็น
ดังนั้นเราคงจะไม่ได้เห็นอะไรทันสมัยมากนัก
ไม่ว่าจะเป็นแฟนพันธ์แท้ของหนังตระกูลนี้ หรือไม่เคยชมมาก่อนเลยก็ตาม
การได้เป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเล้นลับของ Indiana Jones
ก็ยังสามารถสร้างความสนุก ตื่นเต้น บันเทิงใจได้เป็นอย่างดี
อย่าพลาดหนังสนุกๆนะครับ